🌿 บทที่ 1 – กลิ่นลมในยามเย็น
แสงแดดยามบ่ายคล้อยทอดตัวผ่านยอดไม้ ทาบเงาลงบนถนนลูกรังเล็ก ๆ ที่ตัดผ่านทุ่งนาและบ้านไม้ชั้นเดียวอย่างเงียบสงบ
เสียงจักจั่นร้องระงม และกลิ่นดินเปียกชื้นหลังฝนตกบาง ๆ ยังลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
ชายหนุ่มคนหนึ่งในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีครีม สะพายกระเป๋ากล้องใบเล็ก เดินทอดน่องอยู่บนทางดิน เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าบ้านไม้หลังหนึ่ง — บ้านเก่าแต่สะอาด มีต้นจำปีปลูกอยู่ริมรั้วไม้ไผ่ หน้าบ้านมีม้านั่งไม้ตัวหนึ่งตั้งอยู่ใต้ต้นกระโดนใหญ่
บนม้านั่งนั้น มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่
ผิวคล้ำแดดแบบคนทำงานกลางแจ้ง ผมเปียกนิดหน่อยเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ใส่เสื้อยืดสีขาวธรรมดา กับกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน มีผ้าขาวม้าพาดไหล่
เขากำลังก้มหน้าแกะเมล็ดข้าวโพดด้วยสองมือที่เปื้อนนิดหน่อยจากฝุ่นดิน ดูจดจ่อและใจเย็นอย่างประหลาด
ภณหยุดมองอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้ตั้งใจจะหยุด แต่มันมีบางอย่างในภาพตรงหน้าที่ดึงเขาเอาไว้… มันนิ่ง มันเรียบง่าย และมัน “จริง” เกินกว่าที่เขาคุ้นเคยในเมืองหลวง
เขาไม่รู้ว่ากี่วินาทีผ่านไป จนกระทั่งเด็กหนุ่มคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา และมองกลับมาทางเขา
“หลงทางเหรอพี่” เขาถาม น้ำเสียงเป็นกันเอง ไม่หวาดระแวง
ภณสะดุ้งเล็กน้อย รีบยิ้มกลบเกลื่อน “เปล่าครับ… เดินเล่นน่ะ”
“ถ้าร้อนก็นั่งตรงนี้ได้นะครับ ลมดี” อีกฝ่ายว่า พร้อมขยับตัวหลบให้
ภณลังเลนิดหนึ่ง แต่ก็นั่งลงชิดริมสุดของม้านั่ง กลิ่นใบไม้แห้งผสมกลิ่นดินอุ่น ๆ ลอยมาแตะจมูก
เขาไม่พูดอะไร และเด็กหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
มีเพียงเสียงลมกับเสียงนกที่ร้องอยู่บนสายไฟ
หลังจากนั่งอยู่พักหนึ่ง ภณก็ลุกขึ้น ยิ้มให้แบบสุภาพ “ขอบคุณครับ ลมดีจริงด้วย”
เด็กหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ แล้วก้มหน้ากลับไปแกะข้าวโพดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ภณเดินจากไป โดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายยังมองตามหลังเขาอยู่จนลับสายตา…
ภณ ทัศน์เรืองฤทธิ์ อายุ 24 ปี
เรียนจบจากมหาวิทยาลัยดังในอังกฤษ กลับมาเมืองไทยได้ไม่นาน
ชื่อของเขาถูกสื่อเศรษฐกิจจับตาเสมอในฐานะ “ทายาทคนเดียวของเสถียรกรุ๊ป”
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่เจ้าของคือ เสถียร ทัศน์เรืองฤทธิ์ — ผู้ชายที่ขึ้นชื่อเรื่องความเย็นชาและเด็ดขาด
“ถ้าจะกลับมาประเทศไทย ก็ต้องเริ่มลงพื้นที่เอง”
คือประโยคที่พ่อบอกเขาในวันแรกที่กลับมา
แล้วก็ส่งเขาขึ้นเหนือทันที เพื่อศึกษาพื้นที่พัฒนาโครงการใหม่ที่ชื่อว่า “The Hilltop Luxe”
พื้นที่นั่นคือบริเวณชุมชน “สโนน้อย” — ชุมชนเล็ก ๆ ที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และดูจะไม่อยากเปลี่ยนอะไรเลย
ภณไม่ได้เถียง แค่พยักหน้าแล้วเก็บกระเป๋า
เพราะเขาเบื่อที่จะโต้แย้งกับพ่อมานานแล้ว…
“แม่จะไม่บอกให้ลูกรีบแต่งงานก็ได้”
เสียงคุณมารศรีพูดขึ้น ขณะกำลังเรียงมะม่วงน้ำปลาหวานลงจานใบโปรดของลูกชาย
“โอ๊ย… ขอบคุณมากครับแม่” ภณพูดเสียงเนือย นอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟาในชุดเสื้อยืดขาวกับกางเกงลายการ์ฟิลด์ ดูไม่สมศักดิ์ศรีทายาทนักธุรกิจหมื่นล้านเท่าไหร่
“แต่แม่จะฝากเตือนไว้แค่ประโยคเดียว…”
คุณมารศรีนั่งลงข้าง ๆ เอื้อมมือลูบหัวลูกชายเบา ๆ “อย่ารอจนคนดี ๆ เขาถูกจองหมดไปก่อน”
ภณกลิ้งตัวหลบมือแม่แล้วถอนหายใจ “แม่ครับ แม่พูดเหมือนผู้ชายดี ๆ มันเหมือนข้าวหลามช่วงปีใหม่เลยอะ ขายหมดเร็ว ไม่เติม”
“อ้าว ก็ใช่น่ะสิ!”
แม่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “แม่เคยเห็นเด็กคนหนึ่งที่ทำงานในสวนกาแฟ ตอนที่แม่ตอนขึ้นดอยชื่ออะไรนะ… นนท์? โอ๊ยยย แกงามแท้! สายตาเขานี่แบบ… พิฆาตลูกแม่ได้เลยนะ”
“แม่!!” ภณร้องเสียงหลง หันขวับมา “แม่เอาเพศลูกไปประกาศไว้ที่ดอยเหรอเนี่ย!”
แม่หัวเราะคิกเหมือนสาวมหาลัย “แม่ไม่ได้บอกเขาว่าลูกเป็นเกย์ แม่แค่บอกว่า ‘ลูกแม่ยังไม่มีแฟน ชอบคนใจดี’ เท่านั้นเอง”
“เฮ้อ…” ภณยกมือกุมขมับ “แม่ครับ ผมเพิ่งกลับมาได้ไม่ถึงเดือน จะให้ผมขอใครแต่งงานเลยไหม เอาแหวนเพชรมั้ยแม่ ผมมีไซซ์ 9 ว่างอยู่”
“ไม่ต้องประชด!”
แม่ทำเสียงดุ แต่หน้าก็ยังยิ้ม “แม่แค่ห่วง… พ่อก็เริ่มถามถึงแล้วนะ ว่าลูกคิดยังไงกับชีวิตตัวเอง”
ภณนิ่งไป
เงียบลงทันที เหมือนโดนสาดน้ำเย็นใส่หน้า
แม่เองก็เห็น จึงพูดเบาลง “แม่รู้ว่าพ่อเขาเข้ม แต่ลูกก็โตพอที่จะเลือกทางเดินเองได้แล้วนี่… ถ้ามั่นใจว่าทางที่เดินอยู่มันใช่ แม่จะอยู่ข้างลูกเสมอ เข้าใจไหม”
ภณค่อยๆ พยักหน้า แล้วพึมพำเบาๆ “เข้าใจครับ ขอบคุณนะครับแม่”
แม่ลูบหัวลูกชายอีกครั้ง
คราวนี้เขาไม่กลิ้งหนี

