Saturday, December 6, 2025
NovelMoon on Track: วิ่งสุดใจไปคว้าเดือน ตอน 2

Moon on Track: วิ่งสุดใจไปคว้าเดือน ตอน 2

บทที่ 3 : ภารกิจลับระดับ (ไม่) ชาติ

นาฬิกาบนหัวเตียงบอกเวลา 22.45 น.

ผมยืนจ้องตัวเองในกระจกห้องน้ำ สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย เสื้อยืดตราห่านคู่สีขาวกับกางเกงวอร์มขาสั้นตัวเก่า… ไม่ใช่ชุดที่คนปกติจะใส่ไปเดต หรือไปเจอเดือนมหาลัยแน่ๆ แต่ช่างเถอะ ผมไปซ้อมวิ่ง ไม่ได้ไปเดินแบบ

“จะไปไหนวะดึกดื่น?”

เสียงงัวเงียของไอ้แซมดังขึ้นจากกองผ้าห่ม ทันทีที่ผมไขกุญแจห้อง

“หิว” ผมตอบสั้นๆ พลางชูถุงลูกชิ้นปิ้งที่เพิ่งลงไปซื้อหน้าหอมาเมื่อกี้ให้มันดูเป็นหลักฐาน “ลงไปซื้อของกิน แล้วกะว่าจะไปยืดเส้นยืดสายหน่อย”

“เออๆ อย่าไปแถวสแตนด์เชียร์ล่ะ ผีพี่แทนดุนะเว้ย” แซมพึมพำก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมโปงหลับต่อ

ผมถอนหายใจเบาๆ รอดตัวไปหนึ่งเปลาะ

บรรยากาศที่สนามวิ่งตอนห้าทุ่มยังคงเงียบสงัดเหมือนเดิม แตกต่างตรงที่คืนนี้ผมไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยว

ที่มุมเดิมหลังกองเบาะรองกระโดด ร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษา (ที่วันนี้เปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดสีดำทับ) นั่งรออยู่แล้ว ทันทีที่เห็นผมเดินเข้าไปพร้อมถุงลูกชิ้น กลิ่นน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดคงไปเตะจมูกเข้า เพราะดวงตาคู่สวยของคิรินเป็นประกายวิบวับขึ้นมาทันที

“มาช้า! นึกว่าโดนผีคาบไปแล้ว” คิรินบ่นอุบ แต่ตาก็ยังจ้องถุงลูกชิ้นไม่วางตา

“ผีที่ไหนจะน่ากลัวเท่าความหิวของคุณ” ผมยื่นถุงให้เขา แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ “กินเข้าไปได้ไงดึกป่านนี้ ไม่กลัวหน้าบวมเหรอ พรุ่งนี้มีถ่ายงานไม่ใช่รึไง?”

คิรินชะงัก ลูกชิ้นเอ็นเนื้อกำลังจะเข้าปาก เขาหันขวับมามองผม “นายรู้ได้ไงว่าพรุ่งนี้ผมมีถ่ายงาน?”

“ก็…” ผมเกาแก้มแก้เก้อ “ไอ้แซมมันเปิดเพจแฟนคลับคุณให้ดูเมื่อเช้า เห็นตารางงานคุณยาวเป็นหางว่าว”

คิรินหัวเราะหึๆ “แฟนคลับตัวยงหรือเปล่าเนี่ยเรา… ช่างเถอะ มื้อนี้ถือว่าเป็น Cheat Day” ว่าแล้วเขาก็ยัดลูกชิ้นเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ แก้มป่องจนดูเหมือนหนูแฮมสเตอร์มากกว่าเดือนมหาลัยมาดขรึม

เรานั่งกินลูกชิ้นกันเงียบๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ ผมลอบมองด้านข้างของเขา… เวลาคิรินกิน เขาดูมีความสุขมาก ไม่มีการเก๊กหล่อ ไม่มีการระวังมุมกล้อง น้ำจิ้มเลอะมุมปากเขาก็แค่ใช้หลังมือเช็ดออกลวกๆ

“ถามจริง ไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน?” ผมถามคำถามที่ค้างคาใจ

“ความลับ” คิรินยักคิ้ว “ล้อเล่น… ผมไปขโมยดูจากทะเบียนประวัตินักศึกษาที่ห้องทะเบียนคณะมา พอดีป้าแม่บ้านแกเอ็นดูผมน่ะ”

“ใช้อำนาจในทางที่ผิด”

“เขาเรียกว่าใช้ทรัพยากรที่มีให้คุ้มค่าต่างหาก” คิรินเถียงข้างๆ คูๆ ก่อนจะหยิบลูกชิ้นไม้สุดท้ายขึ้นมา “เอาน่า แลกกับการที่ผมต้องมานั่งหลบๆ ซ่อนๆ กินลูกชิ้นข้างกองขยะแบบนี้ ถือว่าหายกัน”

พรึ่บ!

จู่ๆ ลำแสงสีขาวจ้าจากไฟฉายก็สาดส่องเข้ามาทางพวกเราอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงฝีเท้าที่ย่ำต๊อกๆ มาบนพื้นยาง

“ใครน่ะ! ใครอยู่ตรงนั้น!” เสียงแหลมสูงของผู้หญิงตะโกนฝ่าความมืดมา

คิรินตาโต สำลักลูกชิ้นจนหน้าแดง “ชิบหาย! เจ๊จีน่า!”

“ใครนะ?”

“ผู้จัดการผม! ซวยแล้ว ถ้าเจ๊รู้ว่าผมแอบมากินของทอดตอนดึก แถมอยู่กับผู้ชายสองต่อสอง โดนบ่นหูชา 3 วัน 3 คืนแน่!” คิรินลุกลี้ลุกลน หันซ้ายหันขวา “ดีน! ซ่อนเร็ว!”

“ฮะ? ซ่อนทำไม เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

“โอ๊ยยย นายไม่รู้จักเจ๊จีน่า! เจ๊แกยิ่งกว่า FBI ผสมหมอผี! เร็วเข้า!”

ไม่ทันได้เถียง คิรินก็ผลักผมให้มุดเข้าไปในช่องว่างระหว่างกองเบาะกระโดดสูงกับผนังโรงเก็บของ มันแคบมากจนผมต้องขดตัวเป็นกุ้ง

ร่างของเจ๊จีน่าปรากฏขึ้นในแสงสลัว เธอเป็นสาวประเภทสองร่างท้วมที่แต่งตัวจัดเต็มแม้จะเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน ในมือข้างหนึ่งถือไฟฉาย อีกข้างกำสร้อยพระแน่น

“คิริน! ยูอยู่นี่ใช่ไหม!” จีน่าส่องไฟกราดไปทั่ว “โอ๊ยตายแล้ว อกอีแป้นจะแตก! หายตัวออกมาจากหอพักได้ยังไง ยามบอกว่าเห็นเงาตะคุ่มๆ เดินมาทางนี้!”

คิรินรีบปั้นหน้านิ่ง (ทั้งที่ปากยังมันแผล็บ) แล้วเดินออกมาจากเงามืด “อยู่นี่ครับเจ๊… เบาเสียงหน่อยสิ”

“ว้าย! ตาเถรตกน้ำ!” จีน่าสะดุ้งโหยง เอาพระมาพนมมือไหว้ท่วมหัว “นึกว่าผีพี่แทน! โถ่พ่อคุณพ่อขนุนหนัง! มาทำอะไรที่นี่คะลูก! รู้ไหมว่าสนามนี้มันเฮี้ยน!”

“ผม… ผมออกมาซ้อมเดินแบบครับ” คิรินแถสดๆ “ห้องมันแคบ เดินไม่ถนัด”

“ซ้อมเดินแบบบนลู่วิ่งเนี่ยนะ!?” จีน่าทำตาโตเท่าไข่ห่าน ก่อนจะจมูกฟุดฟิด “เดี๋ยว… กลิ่นอะไร… กลิ่นลูกชิ้นปิ้ง?”

ผมที่ซ่อนอยู่แทบจะกลั้นหายใจ กลิ่นหลักฐานมันคละคลุ้งไปหมด

“อ๋อ… กลิ่น… กลิ่นธูปมั้งครับเจ๊” คิรินตอบหน้าตาย “สงสัยใครมาจุดไหว้เจ้าที่”

“ว้าย! อย่าทักสิลูก! ขนลุกไปหมดแล้ว!” จีน่าหน้าซีด รีบคว้าแขนคิรินหมับ “กลับ! กลับหอด่วนเลย! พรุ่งนี้ต้องตื่นตีสี่ไปแต่งหน้านะยะ ถ้าหน้าบวมขึ้นมาแม่จะหักค่าขนม!”

“คร้าบๆ กลับแล้วคร้าบ”

คิรินยอมเดินตามแรงลากของจีน่าไป แต่ก่อนจะพ้นมุมตึก เขาแอบหันหลังกลับมามองที่ซ่อนของผม แล้วทำปากขมุบขมิบแบบไม่มีเสียง

ผมแกะปากอ่านได้ความว่า… ‘พรุ่งนี้ – เจอกัน – ที่เดิม’

พร้อมกับขยิบตาให้ทีหนึ่ง

ผมรอจนเสียงโวยวายของเจ๊จีน่าเงียบหายไป จึงค่อยๆ มุดออกมาจากกองเบาะ ปัดฝุ่นออกจากเสื้อ แล้วมองไปยังลูกชิ้นไม้สุดท้ายที่ตกอยู่บนพื้น…

อดกินเลยแฮะ

แต่พอนึกถึงหน้าตาตื่นๆ ของเดือนมหาลัยเมื่อกี้ กับข้ออ้างเรื่อง ‘กลิ่นธูป’ ผมก็อดหัวเราะออกมาคนเดียวไม่ได้

ดูเหมือนภารกิจลับครั้งนี้ จะวุ่นวายกว่าที่คิดซะแล้ว

และที่สำคัญ… ผมเริ่มรู้สึกว่าการมาสนามวิ่งตอนห้าทุ่ม มันสนุกกว่าการซ้อมวิ่งตอนเช้าเป็นไหนๆ

บทที่ 4 : เงาในล็อกเกอร์ (The Warning)

เช้าวันจันทร์เวียนมาถึงพร้อมกับความวุ่นวายตามปกติของมหาวิทยาลัย

ผมวิ่งจ็อกกิ้งเบาๆ รอบสนามฟุตบอลเพื่อวอร์มร่างกายก่อนการซ้อมช่วงเช้า แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลงมากระทบยอดหญ้า แต่วันนี้สายตาของผมกลับไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ลู่วิ่งเหมือนทุกที

ที่บริเวณลานกิจกรรมหน้าตึกคณะสถาปัตย์ฯ ซึ่งอยู่ติดกับสนามกีฬามีฝูงชนกำลังมุงดูอะไรบางอย่าง เสียงกรี๊ดกร๊าดเบาๆ ลอยมาตามลม ผมชะลอฝีเท้าลงและเพ่งมอง

ท่ามกลางวงล้อมของนักศึกษาและกล้องโทรศัพท์มือถือนับสิบเครื่อง ‘คิริน’ ยืนอยู่ตรงนั้น

วันนี้เขาอยู่ในชุดนักศึกษาที่ถูกระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว เสื้อขาวสะอาดตารีดเรียบกริบ กางเกงสแล็คสีดำพอดีตัว ผมที่เมื่อคืนยุ่งเหยิงถูกเซ็ตทรงเปิดหน้าผากโชว์ความหล่อเหลาแบบไม่มีที่ติ เขากำลังยืนยิ้มให้กล้อง—รอยยิ้มการค้าที่ดูสุภาพ อ่อนโยน และ ‘เพอร์เฟกต์’

“น้องคิรินครับ! มองกล้องนี้หน่อยครับ!” “พี่คิรินคะ ขอถ่ายคู่ด้วยได้ไหมคะ!”

เขาหันไปยิ้มรับ ยกมือไหว้ขอบคุณ และโพสท่าถ่ายรูปอย่างคล่องแคล่ว ไม่มีร่องรอยของความง่วงหรือคนที่เพิ่งกินลูกชิ้นข้างกองขยะเมื่อคืนหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย

มันเหมือนผมกำลังมองคนแปลกหน้า… คนละคนกับ ‘ไอ้คุณชาย’ ที่แย่งน้ำผมกิน

จึ๊ก!

ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงแรงศอกที่กระแทกเข้าที่สีข้าง “มองตาเยิ้มเลยนะมึง น้ำลายหกแล้วไอ้เสือ”

‘ไอ้แซม’ ในชุดวอร์ม (ที่ดูเหมือนชุดนอนมากกว่า) ยืนทำหน้ากวนประสาทอยู่ข้างๆ “กูบอกแล้วไงว่าอย่าไปหลงเสน่ห์มัน ของสูงนะเว้ย นั่นน่ะสมบัติของมหาลัย ส่วนมึงน่ะสมบัติของลู่วิ่ง… อยู่กันคนละโลก”

“เพ้อเจ้อ” ผมผลักหัวมันเบาๆ “กูแค่มองเฉยๆ ว่าคนเยอะขนาดนั้นเขาไม่อึดอัดบ้างรึไง”

“ระดับนั้นเขาชินแล้วมั้ง” แซมยักไหล่ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “เอ้อ พูดถึงเรื่องอึดอัด… มึงรู้ยังว่าเมื่อเช้ามีคนเจอ ‘รอยเท้า’ แปลกๆ ในห้องเก็บอุปกรณ์ด้วย”

ผมชะงัก “รอยเท้าอะไร?”

“รอยเท้าเปื้อนโคลน… ไซส์เบ้อเริ่มเทิ่ม! เดินวนไปวนมาหน้าล็อกเกอร์เก็บของนักกีฬา” แซมทำเสียงกระซิบกระซาบจนขนลุก “ภารโรงบอกว่าเมื่อคืนฝนไม่ตก แล้วโคลนมาจากไหน? แถมเดินเข้าไปแล้วไม่มีรอยเดินออกมาด้วยนะ… เหมือนหายตัวไปเฉยๆ!”

ผมพยายามทำหน้านิ่ง แต่ในใจเริ่มแกว่ง รอยเท้า? หรือจะเป็นรอยเท้าของคิรินเมื่อคืน? แต่เมื่อคืนเราไม่ได้เข้าไปในห้องเก็บของนี่นา เราอยู่แค่ตรงเบาะกระโดดสูง

“มึงเลิกฟุ้งซ่าน แล้วไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว เดี๋ยวโค้ชวินด่า” ผมตัดบท แล้วรีบเดินหนีออกมา ก่อนที่ความกลัวจะเริ่มทำงาน

ช่วงบ่าย ผมหนีความวุ่นวายมาขลุกอยู่ในหอสมุดกลาง มุมประจำของผมคือชั้น 4 โซนหนังสือเก่าที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ผมชอบกลิ่นกระดาษเก่าๆ กับความเงียบที่ทำให้มีสมาธิอ่านหนังสือสอบ

ครืด…

เสียงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามถูกเลื่อนออกเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นจากชีทวิชา Anatomy แล้วก็ต้องประหลาดใจ

คิรินนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้น เขาถอดสูทตัวนอกออกพาดไว้กับพนักเก้าอี้ เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับแขนขึ้นอย่างลวกๆ ใบหน้าหล่อเหลาดูเหนื่อยล้ากว่าเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัด

เขาไม่พูดอะไร แค่ยกนิ้วชี้แตะปากเป็นเชิงบอกว่า ‘ห้ามทัก’ แล้วยื่นโพสต์อิทสีเหลืองแผ่นเล็กๆ ข้ามโต๊ะมาแปะลงบนชีทเรียนของผม

ข้อความในกระดาษเขียนด้วยลายมือหวัดๆ แต่น่ารัก: (‘หนีเจ๊จีน่ามา เจ๊แกกำลังไปแก้บนที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง… ขอที่หลบภัยสักชั่วโมงนะ’)

ผมหลุดยิ้ม หยิบปากกาเขียนตอบกลับไปในกระดาษแผ่นเดียวกัน: (‘ที่นี่หอสมุด ไม่ใช่หลุมหลบภัย… แล้วทำไมต้องหนีตลอด?’)

คิรินรับกระดาษไปอ่าน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเขียนตอบกลับมายาวเหยียด: (‘เหนื่อย… ไม่อยากยิ้มแล้ว เมื่อกี้เกือบหลุดด่าตากล้องที่มาแอบถ่ายตอนกำลังเข้าห้องน้ำ… โรคจิตชะมัด’)

ผมอ่านข้อความนั้นแล้วเงยหน้ามองเขา คิรินฟุบหน้าลงกับท่อนแขนตัวเอง หันหน้ามาทางผม ดวงตาที่มักจะส่องประกายตอนนี้ดูหม่นลงเหมือนคนแบกโลกไว้ทั้งใบ

ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปใต้โต๊ะ แตะหลังมือเขาเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ คิรินสะดุ้งเล็กน้อย แต่ไม่ได้ชักมือหนี เขากลับแบมืออกแล้วใช้นิ้วก้อยเกี่ยวปลายนิ้วก้อยผมไว้หลวมๆ… การสัมผัสที่แผ่วเบา แต่กลับทำให้หัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะได้ยินเสียงตัวเอง

เรานั่งเงียบๆ กันแบบนั้นอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง โดยไม่มีใครพูดอะไร แต่ความรู้สึกบางอย่างมันสื่อถึงกันชัดเจนกว่าคำพูดนับพันคำ

“ดีน…” จู่ๆ เขาก็เรียกชื่อผมเสียงเบาหวิว

“หือ?”

“นายเคยได้ยินเรื่องพี่แทนใช่ไหม?”

ผมชะงัก “ไอ้แซมเล่าให้ฟัง… ทำไมเหรอ?”

คิรินเงยหน้าขึ้น แววตาดูสับสน “เมื่อวาน… ตอนที่ผมไปห้องทะเบียน ผมแอบเห็นแฟ้มประวัติเก่าๆ ของรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว… แฟ้มของรุ่นปี 5X มันหายไปทั้งแถบเลย… หายไปแค่ปีเดียว เหมือนมีคนจงใจดึงออกไป”

“อาจจะเอาไปทำความสะอาดหรือเปล่า?”

“ไม่…” คิรินส่ายหน้าช้าๆ “เพราะผมไปเจอรูปใบหนึ่งตกอยู่ที่พื้น… เป็นรูปถ่ายรวมรุ่น”

เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบรูปถ่ายใบเล็กๆ ขนาดเท่ารูปติดบัตรที่ดูเก่าและซีดจางออกมาวางบนโต๊ะ ในรูปนั้นมีกลุ่มนักศึกษายืนกอดคอกันยิ้มร่าเริง แต่มีคนหนึ่งที่หน้าตาโดดเด่นสะดุดตา… ผู้ชายที่ยิ้มกว้างจนตาหยี ดูมีความสุขและมั่นใจ

“นี่คือพี่แทน…” คิรินชี้ไปที่คนนั้น “และดูคนข้างๆ สิ”

ผมเพ่งมองตามนิ้วเรียวยาวของคิริน… ข้างๆ พี่แทน คือผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาเคร่งขรึม แม้จะดูหนุ่มกว่าปัจจุบันมาก แต่ผมจำสายตาคู่นั้นได้แม่น

โค้ชวิน… โค้ชของผม

ในรูปนั้น โค้ชวินกำลังแอบมองพี่แทนด้วยสายตาที่… อ่อนโยนอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“ข่าวลือเป็นเรื่องจริงสินะ” ผมพึมพำ

“ปัญหาคือ…” คิรินเม้มปาก “ทำไมทุกคนต้องพยายามลบตัวตนของพี่แทนออกไป? ถ้าแค่หายตัวไป ก็ควรประกาศคนหาย ไม่ใช่ทำเหมือนเขาไม่เคยมีตัวตนแบบนี้”

ก่อนที่ผมจะทันได้ตอบอะไร เสียงโทรศัพท์ของคิรินก็สั่นครืดคราด เขาหยิบขึ้นมาดูแล้วทำหน้าเซ็ง

“เจ๊จีน่า… ตามตัวแล้ว” เขาถอนหายใจ เก็บรูปถ่ายใส่กระเป๋า แล้วลุกขึ้นยืน “ผมต้องไปแล้ว… คืนนี้เจอกันไม่ได้นะ ต้องไปงานเลี้ยงรุ่นกับพวกพี่ๆ”

“อืม ระวังตัวด้วย” ผมบอก

คิรินยิ้มบางๆ ให้ผม ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นสบู่จางๆ และความสงสัยที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจผม

ตกเย็น ผมกลับไปที่ห้องชมรมเพื่อเปลี่ยนชุดซ้อม บรรยากาศในห้องล็อกเกอร์ตอนหกโมงเย็นเงียบผิดปกติ เพื่อนคนอื่นน่าจะออกไปที่สนามกันหมดแล้ว

ผมเดินไปที่ตู้หมายเลข 14 ซึ่งเป็นตู้ประจำของผม ไขกุญแจแม่กุญแจที่คล้องอยู่ออก…

แกร๊ก…

ทันทีที่เปิดบานประตูตู้เหล็ก กลิ่นเหม็นอับชื้นแปลกๆ ก็โชยออกมาปะทะจมูก… ไม่ใช่กลิ่นเหงื่อหรือกลิ่นรองเท้า แต่เป็นกลิ่นเหมือน ดอกไม้เน่า ผสมกับกลิ่นดินเปียกๆ

ผมขมวดคิ้ว เอื้อมมือไปหยิบเสื้อวิ่ง แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างวางทับอยู่บนกองเสื้อผ้า

มันคือซองจดหมายสีน้ำตาลเก่าๆ ที่ไม่มีจ่าหน้าซอง

ใจผมกระตุกวูบ มือที่เอื้อมไปหยิบสั่นเล็กน้อย… ใครเอามาใส่ไว้? ล็อกเกอร์ผมล็อกกุญแจตลอดเวลา ไม่มีใครมีกุญแจสำรองนอกจากโค้ชวินและภารโรง

ผมค่อยๆ ฉีกซองจดหมายออก ภายในมีกระดาษโน้ตสีขาวแผ่นหนึ่ง กับรูปถ่ายใบหนึ่ง

ผมหยิบรูปถ่ายขึ้นมาดูก่อน… มันเป็นรูปแอบถ่าย… รูปของ ผม กับ คิริน ที่นั่งกินลูกชิ้นกันเมื่อคืน! มุมภาพถ่ายมาจากระยะไกล ผ่านช่องลมของอัฒจันทร์ ภาพเบลอเล็กน้อยแต่เห็นชัดเจนว่าเรากำลังนั่งหัวเราะกันอยู่

ความเย็นเฉียบแล่นพล่านไปทั่วไขสันหลัง… มีคนแอบดูเราอยู่ตลอดเวลา!

ผมรีบกางกระดาษโน้ตอ่าน ข้อความในนั้นถูกตัดแปะจากหนังสือพิมพ์เก่าๆ เรียงกันเป็นประโยคที่น่าขนลุก:

“หยุดวิ่งตามดวงจันทร์… ก่อนที่ขาของมึงจะไม่มีวันได้วิ่งอีก”

ปัง!

เสียงประตูห้องล็อกเกอร์กระแทกปิดดังสนั่นหวั่นไหวด้วยแรงลม… ทั้งที่ในห้องนี้ไม่มีหน้าต่างสักบาน

ผมสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองที่ประตู… ไม่มีใคร ความเงียบงันเข้าครอบงำห้องล็อกเกอร์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่เงียบสงบเหมือนเดิม ผมรู้สึกได้ถึงสายตา… สายตาของใครบางคนที่กำลังจ้องมองผมจากเงามืดของตู้ล็อกเกอร์แถวหลังสุด

เหงื่อกาฬไหลซึมเต็มฝ่ามือ ผมกำจดหมายเตือนภัยนั้นแน่น

คำเตือนนี้ไม่ได้ขู่เล่นๆ… และเรื่องราวของพี่แทน อาจจะไม่ได้จบลงแค่การ “หายตัวไป” อย่างที่คิด

เกมไล่ล่า… ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ตอนอื่นๆ

More Novel