แสงเช้าของสโนน้อยมาอย่างเชื่องช้า
หมอกบางยังคลุมอยู่เหนือยอดไผ่
เสียงไก่ขันข้ามรั้วกันไปมา และกลิ่นข้าวคั่วจากบ้านใกล้เรือนเคียงก็ตีขึ้นมาตามลมอย่างคุ้นเคย
โสนนท์ยืนอยู่ที่หน้าระเบียงบ้าน
แก้วน้ำอุ่นในมือเริ่มเย็นลง แต่เขายังไม่ยกขึ้นดื่ม
สายตาจ้องมองไปยังทางดินสายเล็กที่ทอดยาวไปสู่ตัววัด
เขารู้สึกได้ว่าบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป
แต่ยังไม่รู้ว่าอะไร
ช่วงสาย วันเดียวกันนั้น
ที่ศาลาประชาคมกลางหมู่บ้าน
ชาวบ้านหลายคนมารวมตัวกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
เสียงพูดคุยเบา ๆ กระซิบกระซาบ บางคำก็หลุดออกมาดังขึ้นเพราะความไม่พอใจ
“เขาจะเวนคืนที่แถววัดจริงเหรอ?”
“ฝั่งลำธารก็ด้วยนะ ยายผินบอกเห็นคนมาถ่ายรูปแนวเขต”
“พวกจากกรุงเทพฯ ใช่ไหม?”
“ได้ข่าวว่าเป็นบริษัทใหญ่… จะสร้างอะไรหรู ๆ อีกแล้วละมั้ง”
ระหว่างนั้น ลุงเชิด คนขายของชำเจ้าประจำ เดินเข้ามาพร้อมมือถือ
เปิดภาพแผนที่ที่มีจุดสีแดงระบุแนวพัฒนา
“เฮ้ย! บ้านยายแย้มก็อยู่ในแนวนี่หนิ!”
คำพูดนั้นเงียบไปชั่วครู่
ก่อนที่เสียงฮือจะเริ่มดังขึ้นอีกระลอก
บ่ายวันนั้น
ภณกลับมาที่โฮมสเตย์หลังจากเดินเล่นรอบหมู่บ้าน
ในมือมีถุงข้าวหลามกับน้ำอ้อยที่เพิ่งซื้อจากแม่ค้าเจ้าเดิม
เขากำลังจะหยิบกุญแจไขประตู
แต่ก็ชะงักเมื่อเห็น ฝ้าย ยืนรออยู่หน้าประตูห้องเขา แขนกอดอก คิ้วขมวด
“พี่ภณ…”
เสียงของเธอไม่เหมือนทุกครั้งที่เคยแซวเคยเล่น
“หนูขอถามอะไรตรง ๆ ได้ไหมคะ?”
ภณชะงักไป
มือที่ถือกุญแจแน่นขึ้นเล็กน้อย
ฝ้ายมองตาเขา
น้ำเสียงลดลง แต่อึดอัดกว่าเดิม
“พี่มาจากที่ไหนกันแน่?”
คืนนั้น
โสนนท์นั่งล้างจานอยู่หลังบ้าน
เสียงน้ำไหลในกะละมังยังดังกลบความคิด แต่ใจเขากลับไม่สงบเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา
เขาเพิ่งได้ยินมาว่าบ้านของยายอาจอยู่ในแนวเวนคืน
และมีใครบางคนในหมู่บ้านบอกว่า… คนที่พวกนักสำรวจเรียกว่า “คุณภณ”
อาจไม่ใช่แค่แขกทั่วไป
โสนนท์หยุดมือลงช้า ๆ
สบตาตัวเองในผิวน้ำในกะละมัง
แล้วถามในใจ… ว่าเขารู้จักผู้ชายคนนั้นดีแค่ไหนกันแน่
เมื่อความผูกพันเติบโตในเงาความลับ…
วันที่ความจริงปรากฏอาจกลายเป็นรอยร้าวที่ไม่ทันตั้งตัว
.
ช่วงเย็นในสโนน้อยเงียบผิดปกติ
ลมไม่ได้พัดแรง แต่ท้องฟ้ากลับมืดเร็วกว่าทุกวัน
เสียงจักจั่นเริ่มร้องตั้งแต่แดดยังไม่ทันลับ
เหมือนรู้ล่วงหน้า ว่าจะมีฝนตกใจกลางฤดูแล้ง
ภณเดินเข้ามาที่หน้าบ้านยายแย้ม
รองเท้าแตะเสียงเบา แตะลงบนดินชื้น
เขาไม่ได้ถืออะไรมาในมือ ไม่มีถุงของฝาก ไม่มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าเหมือนเคย
…มีเพียงเงาใต้ตา กับมือที่กำแน่นเกินจำเป็น
“สวัสดีครับยาย” เขาพูดเบา ๆ ขณะยกมือไหว้
ยายแย้มพยักหน้ารับ แต่ไม่ได้ยิ้มตอบอย่างเคย
เธอแค่เอื้อมมือไปจัดถ้วยน้ำชาหน้าระเบียงให้ แล้วเดินหายเข้าไปในครัว
โสนนท์นั่งอยู่ข้างกะละมังผัก
เขาไม่ได้หันมามองทันที
ภณเห็นแค่ไหล่ของเขาที่ไหวเบา ๆ ตามจังหวะมือที่ล้างถั่วฝักยาวช้า ๆ
“วันนี้… พี่ไปไหนมาบ้างเหรอครับ?”
คำถามธรรมดา แต่เสียงของโสนนท์เหมือนเบากว่าปกติ
ไม่มีน้ำเสียงล้อเล่น
ไม่มีหางเสียงยิ้ม ๆ
ภณชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “เดินเล่นแถววัดน่ะ…”
“อืม…” โสนนท์พยักหน้า ไม่ถามต่อ
ความเงียบแทรกตัวลงระหว่างเสียงน้ำ
มันไม่ใช่ความเงียบสบาย ๆ แบบเดิม
แต่มันคือความเงียบที่ฟังออกว่ามีคำถามซ่อนอยู่
…แต่ไม่มีใครพูดก่อน
ภณเดินมานั่งลงข้าง ๆ
เขายื่นมือไปรับถั่วฝักยาวอีกกำ แต่โสนนท์ขยับมือเลี่ยงเล็กน้อย
“พี่ภณ”
เสียงเรียกนั้นนิ่ง และช้า
“ครับ?”
“ถ้า… ถ้าพี่ไม่ใช่คนที่บอกว่าเป็นจริง ๆ”
โสนนท์เงยหน้าขึ้นมองตาเขาตรง ๆ เป็นครั้งแรกของวัน
“…ผมจะยังไว้ใจพี่อยู่ไหมวะ?”
ภณอยากตอบ
แต่ไม่มีคำไหนหลุดออกมาจากปาก
เขาทำได้แค่ถอนหายใจ
และรู้ว่าคำถามนั้น… ยังไม่ถึงเวลาตอบ
บางคำถามไม่ต้องการคำตอบทันที
แต่อยากรู้ว่าคนตรงหน้า “กล้าตอบ” หรือแค่ “กล้าหลบ”
ความรู้สึกที่เริ่มเปลี่ยนรูปร่าง
ค่ำคืนนั้น ฝนไม่ได้ตก
แต่ความเย็นของอากาศเหมือนชื้นฝน
บ้านไม้ของยายแย้มเงียบสนิท ยิ่งกว่าเมื่อวันก่อน
โสนนท์นั่งอยู่ที่ปลายเตียง แสงจากไฟนีออนหลอดเล็กบนเพดานสั่นวูบวาบ
เขายกผ้าขาวม้าพาดไหล่ไว้ตามเคย แต่ในมือไม่มีหนังสือ ไม่มีมือถือ
มีแค่ความคิดที่เริ่มดังขึ้นทุกวัน
เหมือนฝนที่ยังไม่ตก… แต่หนักค้างอยู่ในฟ้า
“ยายเคยกลัวอะไรแบบนี้ไหม”
โสนนท์ถามขณะช่วยยายรดน้ำผักหลังบ้านในตอนเช้า
“กลัวอะไรลูก?”
“กลัวว่าอยู่ดี ๆ สิ่งที่เรารักจะหายไป โดยที่เราทำอะไรไม่ได้เลย”
ยายแย้มไม่ตอบทันที
เธอย่อตัวลงลูบดินเบา ๆ ข้างแปลงถั่วพลู แล้วพูดช้า ๆ ว่า
“ยายเคยกลัวแบบนั้น… ตอนที่แม่เอ็งจากไป”
เสียงยายไม่สั่น ไม่เศร้า แต่หนักแน่น
“แต่ยายก็รู้ว่า ต่อให้หายไป… สิ่งที่เรารัก มันไม่เคยหมดไปจากใจเรา”
“แล้วถ้าคนที่ทำให้มันหายไป… คือคนที่เรากำลังไว้ใจล่ะ?”
คำถามของโสนนท์มาในจังหวะที่เงียบพอดี
น้ำในบัวรดต้นหยดลงดินอย่างสม่ำเสมอ
และยายแย้มไม่หันมามอง
“ลูก”
เธอพูดเบา ๆ
“ใจคน… เราอ่านมันได้ แต่ต้องใช้เวลา
บางที คนที่เงียบ… ก็ไม่ใช่คนโกหก
แค่เขายังไม่กล้าบอกความจริงกับใจตัวเองด้วยซ้ำ”
เช้าวันนั้นโสนนท์ไม่ไปที่ร้านกาแฟ
เขานั่งเฝ้าต้นกระเพราในสวนอยู่เกือบชั่วโมง
คิดถึงเสียงหัวเราะของภณ
คำล้อเล่นเบา ๆ เวลาซื้อน้ำเต้าหู้
มือที่เคยยื่นมารับจานโดยไม่ต้องบอก
…ทั้งหมดนั้นดูจริง
แต่ตอนนี้ กลับเหมือน “ซ้อมความผูกพัน” ไว้เพื่อจะเจ็บทีหลัง
ภณเองก็สัมผัสได้
วันนี้โสนนท์ไม่ตอบไลน์
ไม่เปิดหน้าร้าน
ไม่โผล่มาที่วัด
เขาเดินผ่านบ้านยายแย้มด้วยความลังเลหลายรอบ จนฝ้ายที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านถึงกับเอ่ยขึ้น
“เขาอยู่บ้านนั่นแหละ…”
ภณหยุดเดิน หันไปมองฝ้าย
“แต่วันนี้เขาไม่อยากเจอคนที่ไม่กล้าพูดความจริงหรอกค่ะ”
น้ำเสียงฝ้ายไม่ได้ประชด
แค่นิ่งและตรง
เหมือนคนที่รักเพื่อนมากพอจะปกป้องแม้ต้องเป็นคนพูดแรง
การโกหกที่เจ็บที่สุดไม่ใช่การโกหกคนอื่น…
แต่คือการโกหกตัวเองว่า “มันไม่เป็นไร“
.
บ่ายวันนั้น ฟ้ามืดลงเร็วกว่าปกติ
ลมแรงขึ้นตั้งแต่ยังไม่มีฝน
บ้านเรือนในสโนน้อยปิดหน้าต่างไม้ลงทีละบาน เหมือนใจของชาวบ้านที่เริ่มปิดลงเช่นกัน
“ได้ข่าวว่าผู้ชายคนนั้นเป็นลูกเจ้าของบริษัทที่กำลังจะซื้อที่ตรงวัด… จริงเหรอ?”
“เขาไม่บอกใครเลยนะว่ามาทำอะไร”
“หน้าตาดี… แต่จิตใจจะเหมือนกันหรือเปล่าก็ไม่รู้”
เสียงกระซิบที่ตลาดเย็นวันนั้นไม่ได้ดังมาก
แต่พอให้ภณได้ยิน
และพอให้โสนนท์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล รับรู้ได้จากแววตาของคนรอบข้างที่เริ่มเปลี่ยนไป
หลังตลาดเย็น
ทั้งคู่เดินกลับมาด้วยกันโดยไม่มีบทสนทนา
ฝนเริ่มตกในช่วงครึ่งทาง กลิ่นไอฝนกับกลิ่นดินชื้นอบอวลจนทำให้เสียงเท้าเดินดังชัดเกินไป
ภณเป็นฝ่ายถือร่ม
โสนนท์เดินข้าง ๆ ด้วยสีหน้านิ่ง ไม่บ่น ไม่เร่ง ไม่ถาม
เหมือนคนที่รู้แล้ว… แต่รอฟังจากปาก
ภณรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากความเงียบนั้น
จนในที่สุด เขาก็หยุดเดิน
เสียงฝนดังอยู่บนใบไม้
เสียงน้ำหยดจากยอดหญ้า
และเสียงหัวใจของเขา ที่เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ
“โสนนท์” เขาเรียกเบา ๆ
โสนนท์หยุดเช่นกัน แต่ยังไม่หันกลับมา
ร่มยังอยู่เหนือหัวเขาทั้งสอง
“ฉัน… มีบางอย่างจะบอก”
น้ำเสียงของภณสั่นเล็กน้อย
สายตาจ้องลงไปที่รองเท้าตัวเองที่เปียกอยู่บนดิน
ฝนกระเด็นมาถึงแขนเสื้อ
อากาศเย็นแทรกเข้าอก
“เรื่องที่ฉันเป็นใคร… มาจากไหน… ฉันควรพูดมันนานแล้ว”
โสนนท์ยังเงียบ
แต่ความเงียบครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม
มันเหมือนการรอ… ที่ไม่แน่ใจว่าจะได้ฟังหรือเปล่า
“ฉันไม่ได้มาที่นี่แค่เพื่อพักใจ…” ภณพูดต่อ ช้าแต่มั่นคง
“ฉันมาจากบริษัทที่เขาว่ากันนั่นแหละ… ฉันเป็นลูกของคนที่กำลังจะพัฒนาโครงการนี้”
ในที่สุด โสนนท์ก็หันมามอง
แววตาไม่ตกใจ ไม่ร้องถาม
มีเพียง… การยืนยัน
เขารู้แล้ว
แต่เขาแค่รอให้คนตรงหน้ากล้าพูดออกมาเอง
ภณพยายามจะอธิบาย
แต่โสนนท์พูดแทรกขึ้นช้า ๆ
“พี่คิดจะบอกตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?”
คำถามที่เหมือนไม่ได้โกรธ
แต่กลับเจ็บกว่าคำด่า
ภณนิ่งไป
กลืนคำตอบที่อธิบายไม่ได้ทั้งหมดลงคอ
โสนนท์พยักหน้าเบา ๆ
แล้วพูดเพียงประโยคเดียว
“งั้นพี่ก็คงรู้แล้ว… ว่าทำไมบ้านของผมถึงมีค่า มากกว่าที่พี่เห็น”
เขาเดินออกจากใต้ร่ม ปล่อยให้ตัวเองเปียกฝน
ปล่อยให้ภณยืนอยู่กลางทาง
และปล่อยให้ความเงียบในใจของทั้งคู่ พูดต่อแทนคำว่า “เสียใจ”
บางคำพูด… ไม่ได้พูดเพื่อตัดใจ
แต่พูดเพื่อบอกว่า — ความเชื่อใจคือของขวัญที่ไม่มีวันให้ใครซ้ำได้

