Friday, December 5, 2025
NovelMoon on Track: วิ่งสุดใจไปคว้าเดือน ตอน 3 (จบ)

Moon on Track: วิ่งสุดใจไปคว้าเดือน ตอน 3 (จบ)

บทที่ 5 : นักสืบกางเกงวอร์มกับปฏิบัติการชิงตัวประกัน (ทางใจ)

ปัง!

เสียงประตูเหล็กที่กระแทกปิดเองเมื่อครู่ยังดังก้องอยู่ในหู ผมกำหมัดแน่น รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีแล้วพุ่งตัวไปที่ประตูห้องล็อกเกอร์ กระชากมันเปิดออกอย่างแรง

“ใครวะ! ออกมานะเว้ย!”

ทางเดินยาวหน้าห้องพักนักกีฬาว่างเปล่า มีเพียงแสงไฟนีออนที่กระพริบติดๆ ดับๆ เหมือนในหนังผีเกรดบี ความเงียบสงัดทำให้ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวเหมือนกลองชุด

ตึก… ตึก…

เสียงฝีเท้า! ดังมาจากมุมทางเลี้ยวข้างหน้า สัญชาตญาณนักวิ่งทำงานไวกว่าสมอง ผมสับขาวิ่งเต็มสปีด ระยะทาง 20 เมตรผมใช้เวลาไม่ถึง 3 วินาที พุ่งเข้าชาร์จร่างเงาตะคุ่มที่กำลังจะเลี้ยวหนี

“จับได้แล้วไอ้โรคจิต!”

ผมกระโจนล็อกคอเป้าหมาย ทุ่มลงกับพื้นตามท่าที่เรียนมาจากคลาสยูโด (เกรด C+)

“โอ๊ยยยย! ไอ้ดีน! ไอ้เพื่อนเลว! กูเอง! กูเองโว้ยยย!”

เสียงร้องโหยหวนที่คุ้นเคยทำให้ผมชะงัก… ผมก้มลงมองใต้ร่างตัวเอง… ไอ้แซม ในชุดนอนลายเป็ดสีเหลืองอ๋อย กำลังนอนแอ้งแม้ง แว่นตาหลุดกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง หน้าตาเหยเกด้วยความเจ็บปวด

“แซม? มึงมาทำบ้าอะไรตรงนี้วะ!” ผมรีบปล่อยมือแล้วดึงมันลุกขึ้น

“กูสิต้องถามมึง!” แซมคลำเอวปอยๆ เดินไปเก็บแว่นมาใส่แบบเบี้ยวๆ “กูเห็นมึงกลับช้าผิดปกติ โทรไปก็ไม่รับ กลัวมึงโดนผีพี่แทนลักพาตัวไปทำเมีย เลยอุตส่าห์เดินมาตาม… แล้วดูมึงต้อนรับกู จับทุ่มซะกูเกือบได้ไปคุยกับรากมะม่วง!”

“กู… กูขอโทษ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความกลัวเมื่อกี้หายวับ กลายเป็นความรู้สึกอยากจะกุมขมับแทน “กูนึกว่ามึงเป็นไอ้โรคจิตที่เอานี่มาใส่ตู้กู”

ผมยื่นรูปถ่ายแอบถ่ายและจดหมายขู่ให้แซมดู

แซมรับไปดู ปรับแว่นให้เข้าที่ แล้วเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน “เชี่ย… นี่มันฟอนต์ตัดแปะจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับปี 40 ชัดๆ! คลาสสิกฉิบหาย!”

“มึงโฟกัสให้ถูกจุดหน่อยดิวะ! มันขู่กู!”

“เออๆ รู้แล้ว” แซมพลิกรูปดูไปมา ทำสีหน้าจริงจังเหมือนโคนัน “แต่มึงดูนี่นะดีน… มุมกล้องนี้ถ่ายมาจากด้านบนอัฒจันทร์ แสดงว่าคนถ่ายต้องซูมไกลมาก หรือไม่ก็… ปีนอยู่บนหลังคา”

“แล้วไง?”

“แล้วก็…” แซมดมกระดาษโน้ต ฟุดฟิดๆ “กลิ่นกาว… กาวลาเท็กซ์ธรรมดา แต่เดี๋ยวนะ… มีกลิ่นอื่นปนด้วย”

ผมยื่นจมูกเข้าไปดมบ้าง มันเป็นกลิ่นฉุนจางๆ ที่คุ้นจมูกมาก “กลิ่น… ยาหม่องน้ำ?”

“ใช่! ยาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว!” แซมดีดนิ้วดังเปาะ “คนร้ายต้องเป็นคนแก่! หรือไม่ก็พวกออฟฟิศซินโดรม!”

“มึงวิเคราะห์ได้มั่วซั่วมาก” ผมส่ายหัว แต่ในใจก็แอบเก็บข้อมูลนี้ไว้ “ช่างเถอะ กลับหอก่อน กูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”

ตัดภาพมาที่ 2 ทุ่ม อารมณ์ระทึกขวัญหายไป แทนที่ด้วยความวุ่นวายหน้างานเลี้ยงรุ่นของคณะสถาปัตย์ฯ

ถึงจะมีจดหมายขู่ให้เลิกยุ่งกับคิริน แต่คนอย่างดีน ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ แถมตอนนี้ความเป็นห่วงมันแซงหน้าความกลัวไปแล้ว ผมลากสังขาร (และไอ้แซมที่บ่นงุ้งงิ้ง) มาแอบซุ่มดูอยู่แถวพุ่มไม้หน้าโรงแรมจัดเลี้ยง

บรรยากาศในงานหรูหราหมาเห่า แสงไฟสีนวลตา เพลงแจ๊สคลอเบาๆ นักศึกษาแต่งตัวดีเดินขวักไขว่ และนั่น… คิริน

เขาอยู่บนเวที กำลังถือไมค์กล่าวต้อนรับรุ่นพี่ ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่ขับผิวให้ขาวผ่อง ออร่าความหล่อกระแทกตาจนผมต้องหยีตา เขายิ้ม… รอยยิ้มการค้าแบบเดิม แต่แววตาดูเหนื่อยล้าชอบกล

“หล่อวัวตายควายล้มจริงๆ พ่อคุณ” แซมที่ซุ่มอยู่ข้างๆ กัดไก่ทอดที่ซื้อมาจากเซเว่นเคี้ยวแจ๊บๆ “มึงแน่ใจนะว่าจะสู้กับแฟนคลับทั้งกองทัพเพื่อคนนี้?”

ผมไม่ตอบ แต่หยิบมือถือขึ้นมา ส่งข้อความไปหาเบอร์ปริศนาที่เมมไว้ว่า ‘Moon’

📩 Me: “ยิ้มฝืนๆ นะระวังตีนกาขึ้น หายใจลึกๆ แล้วมองมาทางพุ่มไม้ซ้ายมือ”

บนเวที คิรินชะงักนิดหน่อยตอนหยิบมือถือขึ้นมาดูใต้โพเดียม (เนียนมาก) จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น กวาดสายตามาทางทิศที่ผมซ่อนอยู่…

วินาทีที่สายตาเราประสานกันท่ามกลางผู้คนนับร้อย รอยยิ้มการค้านั้นหายไป เปลี่ยนเป็น ‘รอยยิ้มเจ้าเล่ห์’ ที่มุมปาก เขายกมือขวาขึ้นทำทีเป็นจัดทรงผม แต่จริงๆ แล้วเขาชูนิ้วโป้งแล้วหมุนลงพื้นเร็วๆ …สัญลักษณ์ลับที่เราตกลงกันเล่นๆ เมื่อวาน แปลว่า ‘เบื่อฉิบหาย พาหนีหน่อย’

ใจผมพองฟูขึ้นมาอย่างประหลาด ความเครียดเรื่องจดหมายขู่หายไปชั่วขณะ ผมพิมพ์ตอบกลับไป 📩 Me: “อดทนไว้ เดี๋ยวซื้อมูมมาตุ่ย (หมูมาลัย) ไปฝาก”

คิรินอ่านข้อความแล้วหลุดขำพรืดออกมากลางเวที จนพิธีกรต้องหันมามอง เขาต้องรีบแก้ตัวว่าสำลักน้ำลาย ความเปิ่นนั้นทำให้ผมกับแซมหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เออ… กูก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมมึงชอบมัน” แซมเช็ดปากที่มันแผล็บ “มันดูเป็นคนบ้าๆ บอๆ ดีเหมือนกัน”

แต่แล้ว… ความสุขแบบรถไฟเหาะขาขึ้นก็ต้องดิ่งวูบลงมา

ขณะที่ผมกำลังจ้องมองคิรินด้วยความเพลิดเพลิน หางตาผมก็เหลือบไปเห็นใครบางคนยืนอยู่ที่มุมมืดข้างเวที

ผู้ชายร่างท้วม ใส่ชุดพนักงานทำความสะอาด สวมหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้า เขากำลังจ้องเขม็งไปที่คิริน… สายตานั้นน่ากลัวและว่างเปล่า และในมือของเขา… ถือ ‘ขวดแก้วเล็กๆ’ ที่รูปทรงคุ้นตา

ขวดยาหม่องน้ำ?

“แซม…” ผมสะกิดเพื่อนเสียงเครียด “มึงเห็นลุงภารโรงคนนั้นไหม?”

“คนไหนวะ?” แซมหันไปมอง

แต่พริบตาเดียว ร่างท้วมนั้นก็หายวับไปราวกับไม่เคยมีตัวตน เหลือไว้เพียงผ้าม่านกำมะหยี่ที่ไหวเบาๆ

“หายไปแล้ว…” ผมพึมพำ

“ตาฝาดมั้งมึง หรือไม่ก็ผีพี่แทนมาเที่ยวงานเลี้ยงรุ่น” แซมพูดติดตลก แต่ผมขำไม่ออก

เสียงไลน์เด้งขึ้นมาอีกครั้ง จากคิริน 📩 Moon: “คืนนี้เจอกันที่เดิมไม่ได้นะ เจ๊จีน่าจะมานอนเฝ้าหน้าห้อง… ฝันดีล่วงหน้านะครับ คุณนักวิ่ง”

ผมอ่านข้อความนั้นด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ใจหนึ่งก็โล่งอกที่คืนนี้เขาจะปลอดภัยอยู่ในสายตาเจ๊จีน่า แต่อีกใจหนึ่ง… สัญชาตญาณมันเตือนว่า ‘เกม’ นี้มันเพิ่งจะเริ่ม

ผมกำโทรศัพท์แน่น หันไปบอกไอ้แซม “คืนนี้กูไม่กลับหอ”

“อ้าว แล้วมึงจะไปไหน?”

“ห้องชมรม…” แววตาผมเปลี่ยนไป “กูจะไปดักจับหนูสกปรก”

ถ้ามันกล้าเข้ามาแปะจดหมายในล็อกเกอร์กูได้… มันก็ต้องกล้ากลับมาอีก และคืนนี้ ‘นักวิ่ง’ จะไม่วิ่งหนี แต่จะกลายเป็น ‘ผู้ล่า’ แทน

บทที่ 6 : ความลับหลังบานประตูเหล็ก (Secrets Behind the Iron Door)

นาฬิกาข้อมือบอกเวลา 01.00 น.

เสียงน้ำหยดจากก๊อกน้ำที่ปิดไม่สนิทในห้องอาบน้ำดังก้องเป็นจังหวะ… ติ๋ง… ติ๋ง… ในความเงียบสงัดยามวิกาล เสียงนี้มันชวนประสาทเสียยิ่งกว่าเสียงเล็บขูดกระดานดำเสียอีก

ผมนั่งขดตัวอยู่หลังแนวตู้ล็อกเกอร์แถวสุดท้าย ในมุมมืดที่สุดของห้องพักนักกีฬา มือกระชับไม้เบสบอล (ที่ยึดมาจากห้องชมรมซอฟต์บอลข้างๆ) ไว้แน่น เหงื่อเย็นๆ ซึมชื้นเต็มฝ่ามือ

“ดีน…” เสียงกระซิบสั่นเครือดังมาจากข้างหู “กูว่าเรากลับเถอะมึง… นี่มันตีหนึ่งแล้วนะ ผีพี่แทนน่าจะตื่นแล้ว”

ไอ้แซม นั่งตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่ข้างผม ในมือถือกระบอกไฟฉายแน่น อีกมือถือพวงพระเครื่องพวงใหญ่ที่ห้อยคออยู่จนดูเหมือนแร็ปเปอร์สายบุญ

“เงียบหน่า” ผมดุเสียงเบา “ถ้ามึงกลัวก็กลับไปนอน กูบอกแล้วว่าไม่ต้องตามมา”

“จะทิ้งเพื่อนได้ไงวะ!” แซมเถียงเสียงอ่อย “เกิดมึงโดนฆ่าหมกตู้ล็อกเกอร์ ใครจะหารค่าหอกับกู… แล้วอีกอย่าง กูเตรียมอาวุธมาพร้อมกว่ามึงอีก ดูนี่!”

มันชู ‘ไม้ตียุงไฟฟ้า’ ขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ

“ถ้าผีมา กูช็อต! ถ้าคนร้ายมา กูก็ช็อต! อเนกประสงค์เว้ย!”

ผมกลอกตามองบน พยายามกลั้นขำในสถานการณ์ตึงเครียด แต่แล้วเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ดังมาจากทางเดินหน้าห้องก็ทำให้รอยยิ้มผมหายวับไปทันที

ตึก… ตึก… ตึก…

เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นปูน… ไม่ใช่รองเท้าผ้าใบ และไม่ใช่รองเท้ายางของภารโรง จังหวะการเดินมั่นคง หนักแน่น และคุ้นเคย

ผมกดหัวไอ้แซมให้หมอบลงต่ำสุด กลั้นหายใจจนหน้าแดง

ประตูห้องพักนักกีฬาถูกผลักเปิดออกช้าๆ แอ๊ด…

แสงไฟฉายลำเล็กกวาดเข้ามาในห้อง ก่อนที่เงาร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งจะก้าวเข้ามา แสงจันทร์จากหน้าต่างบานสูงส่องกระทบใบหน้าเคร่งขรึมที่มีหนวดเคราเฟิ้ม

โค้ชวิน!

ผมกับแซมหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก… โค้ชมาทำอะไรที่นี่ตอนตีหนึ่ง? หรือว่าโค้ชจะเป็นคนร้ายที่ส่งจดหมายขู่?

แต่ท่าทางของโค้ชไม่ได้ดูเหมือนคนร้ายที่มาซ่อนกล้อง หรือมาดักทำร้ายใคร เขาเดินตรงไปยังตู้ล็อกเกอร์เก่าๆ ตู้หนึ่งที่ตั้งอยู่มุมสุดของห้อง… ตู้หมายเลข 4 ตู้นี้ถูกปิดตายมาตลอดตั้งแต่ผมเข้าชมรมมา โค้ชบอกเสมอว่ากุญแจหาย ห้ามใครไปยุ่ง

โค้ชวินล้วงกุญแจดอกเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ… (ไหนบอกว่าหาย?) ไขเปิดตู้นั้นออกอย่างแผ่วเบา

แกร๊ก…

สิ่งที่อยู่ข้างในไม่ใช่ซากศพหรือของน่ากลัว แต่เป็น ‘รองเท้าวิ่ง’ เก่าๆ คู่หนึ่งที่สีซีดจางจนเกือบเป็นสีเทา กับ ‘เสื้อกาวน์’ของคณะสถาปัตย์ฯ ที่แขวนไว้อย่างเรียบร้อย

โค้ชวินยืนนิ่งจ้องมองของพวกนั้นอยู่นาน แผ่นหลังกว้างที่มักจะเหยียดตรงอย่างภาคภูมิใจ ตอนนี้กลับดูห่อเหี่ยวและสั่นเทา เขาเอื้อมมือไปลูบแขนเสื้อกาวน์ตัวนั้นเบาๆ เหมือนกำลังสัมผัสคนรัก

“5 ปีแล้วนะแทน…” เสียงทุ้มต่ำของโค้ชดังขึ้นแผ่วเบา สะท้อนก้องในห้องเงียบ “5 ปีแล้ว… มึงหนีกูไปนานเกินไปแล้วนะ”

ผมนิ่งอึ้ง… ขนลุกซู่ไปทั้งตัว นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าของไอ้แซม แต่มันคือความจริงที่เจ็บปวดตรงหน้า โค้ชวินคือแฟนของพี่แทนจริงๆ และเขายังคงรอคอยการกลับมาของคนรักทุกวัน

โค้ชวินก้มหน้าลงไหล่สั่นสะท้าน เสียงสะอื้นเบาๆ เล็ดลอดออกมา “กูขอโทษ… ถ้าวันนั้นกูไม่กดดันมึง ถ้ากูไม่บอกให้มึงเลือกกู… มึงคงไม่ต้องหนีไปแบบนี้”

ภาพตรงหน้าเปลี่ยนสถานะของโค้ชวินในหัวผมทันที จาก ‘ผู้ต้องสงสัย’ กลายเป็น ‘เหยื่อ’ ของโศกนาฏกรรมความรัก ผมรู้สึกจุกในอก… ความรักของพวกเขาจบลงแบบนี้งั้นเหรอ? แล้วความรักของผมกับคิรินล่ะ? จะมีจุดจบแบบเดียวกันไหม?

ทันใดนั้น…

กึก!

เสียงไม้ตียุงในมือไอ้แซมร่วงกระแทกพื้น!

โค้ชวินสะดุ้งเฮือก หันขวับมาทางที่ซ่อนของพวกเราทันที สายตาที่เคยเศร้าสร้อยเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด “ใคร! ใครอยู่ตรงนั้น!”

“ฉิบหายแล้ว…” แซมหน้าซีดเป็นไก่ต้ม

“ออกมาเดี๋ยวนี้!” โค้ชตะคอกเสียงดังลั่นพร้อมส่องไฟฉายมา

ผมตัดสินใจลุกขึ้นยืน ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัว “ผมเองครับโค้ช… ดีนครับ”

“ดีน?” โค้ชวินขมวดคิ้ว ลดไฟฉายลงเล็กน้อย “แล้วนั่น… แซม? พวกมึงมาทำบ้าอะไรที่นี่ดึกๆ ดื่นๆ!”

“เอ่อ… คือ…” ผมสมองตื้อไปหมด จะบอกว่ามาดักจับคนร้าย ก็กลัวโค้ชจะหาว่าบ้า “พวกผม… มาล่าท้าผีครับ!”

“ใช่ครับโค้ช!” แซมรีบเด้งตัวขึ้นมายืนสนับสนุน “พวกผมได้ยินว่าห้องนี้เฮี้ยน เลยอยากมาพิสูจน์… ไม่คิดว่าจะเจอโค้ช แหะๆ”

โค้ชวินถอนหายใจแรง พ่นลมออกจมูกอย่างหงุดหงิด เขาหันไปปิดตู้ล็อกเกอร์หมายเลข 4 อย่างรวดเร็ว แล้วล็อกกุญแจ “ไร้สาระ! เป็นนักกีฬาแท้ๆ แทนที่จะเอาเวลาไปพักผ่อน ดันมาทำเรื่องปัญญาอ่อน กลับไปเดี๋ยวนี้! พรุ่งนี้เช้าวิ่งรอบสนาม 20 รอบ ข้อหาก่อกวน!”

“ครับโค้ช! ขอบคุณครับโค้ช!” พวกเรารีบรับคำ แล้วทำท่าจะวิ่งหนีออกจากห้อง

แต่ก่อนจะพ้นประตู ผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปถาม “โค้ชครับ…”

โค้ชวินชะงัก “อะไรอีก?”

“พี่แทน… เขาเป็นคนยังไงเหรอครับ?”

ความเงียบปกคลุมห้องล็อกเกอร์ชั่วขณะ โค้ชวินยืนนิ่งอยู่กลางห้อง แสงจันทร์ทอดเงาของเขาให้ดูยาวเหยียดและเดียวดาย “เขาเป็นคนเก่ง…” โค้ชตอบเสียงเรียบ แต่แฝงความเจ็บปวด “เก่งทุกเรื่อง… ยกเว้นเรื่องรักตัวเอง”

เขาสบตาผม “อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยนะดีน… บางเส้นชัย มันไม่คุ้มที่จะแลกด้วยคนข้างกาย”

ประโยคนั้นกระแทกใจผมอย่างจัง

พวกเราเดินออกมาจากตึกคณะด้วยความเงียบงัน แต่ทันทีที่พ้นระยะสายตาโค้ช แซมก็ทรุดตัวลงนั่งหอบกับพื้น “โอย… นึกว่าจะตายคาตีนโค้ชแล้ว ใจกูหล่นไปตาตุ่ม”

“แต่เราก็ได้รู้อะไรดีๆ นะ” ผมพูดลอยๆ

“รู้อะไร? รู้ว่าโค้ชเป็นเกย์? หรือรู้ว่าตู้นั้นมีผีเสื้อกาวน์?”

“รู้ว่าโค้ชไม่ใช่คนร้าย” ผมสรุป “คนร้ายต้องเป็นคนอื่น… คนที่รู้เรื่องของโค้ชกับพี่แทน และกำลังใช้เรื่องนี้มาขู่กู”

“เออ จริงด้วย” แซมพยักหน้า ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิด “เดี๋ยวนะมึง… มึงได้กลิ่นอะไรไหม?”

ผมดมฟุดฟิดบ้าง ไม่ใช่กลิ่นยาหม่องน้ำ… แต่เป็นกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรง เหมือนดอกไม้ที่ถูกทิ้งไว้ในแจกันจนน้ำแห้ง

“กลิ่น… ดอกไม้เน่า?”

“มาจากทางนั้น…” แซมชี้มือสั่นๆ ไปที่พุ่มไม้ข้างตึกสโมสรนิสิตที่อยู่ติดกัน

ในเงามืดหลังพุ่มเข็ม มีใครบางคนยืนอยู่ รูปร่างท้วม… ใส่ชุดพนักงานทำความสะอาด… และในมือถือ ‘ดอกกุหลาบสีแดงสดที่เหี่ยวเฉาจนดำคล้ำ’

เขาไม่ได้มองมาที่เรา แต่กำลังมองขึ้นไปที่หน้าต่างห้องพักนักกีฬา… ห้องที่โค้ชวินเพิ่งเดินออกมา เขายกมือขึ้นลูบกระจกหน้าต่างจากระยะไกล ด้วยท่าทางที่ดูโหยหา… และน่าสยดสยอง

แคร์ก…

เสียงเขากระแอมไอแห้งๆ ดังแว่วมา ผมกับแซมยืนตัวแข็งทื่อ นั่นมัน… ‘ลุงภารโรง’ คนเดิมที่ผมเห็นในงานเลี้ยง และถ้าเดาไม่ผิด… เขาไม่ได้กำลังตามรังควานผม แต่เขากำลัง ‘เฝ้ามอง’ โค้ชวินอยู่ต่างหาก!

“เชี่ย… ดีน…” แซมเสียงสั่นจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ “กูว่า… กูว่ากูเห็นเขายิ้ม… ยิ้มให้กู…”

ลุงภารโรงค่อยๆ หันหน้ามาทางเราช้าๆ ภายใต้หมวกแก๊ปเก่าๆ นั้น… ผมเห็นดวงตาที่คุ้นเคยอย่างประหลาด ดวงตาที่ดูเศร้าสร้อยแต่แฝงความบ้าคลั่ง

ก่อนที่ผมจะทันได้ตั้งสติ ร่างท้วมนั้นก็ทิ้งดอกกุหลาบเน่าลงพื้น แล้วเดินหายวับเข้าไปในมุมมืดของตึกสโมสรฯ ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อสำหรับคนรูปร่างแบบนั้น

ผมก้มลงมองดอกกุหลาบที่พื้น… ที่ก้านดอก มีริบบิ้นสีขาวผูกอยู่ พร้อมข้อความเขียนด้วยปากกาสีทองที่เลือนราง:

For Win… My Finish Line. (แด่วิน… เส้นชัยของฉัน)

สมองผมประมวลผลอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ดอกไม้… ลายมือ… รูปร่าง… สายตาที่มองโค้ช…

“แซม…” ผมเรียกเพื่อนเสียงเบาหวิว “กูว่า… ผีพี่แทนไม่ได้สิงอยู่ในตู้ล็อกเกอร์หรอก”

“ทะ… ทำไมวะ?”

“เพราะผีพี่แทน… กำลังเดินตรวจตึกอยู่เมื่อกี้นี้เอง”

บทที่ 7 : ความจริงที่ซ่อนอยู่ในความธรรมดา (The Invisible Man)

เช้าวันต่อมา บรรยากาศในมหาวิทยาลัยยังคงดำเนินไปตามปกติ แต่สำหรับผมและไอ้แซม ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

เราสองคนนั่งซุ่มอยู่ในโรงอาหารคณะสถาปัตย์ฯ (ถิ่นเก่าของพี่แทน) บนโต๊ะมีจานข้าวมันไก่ที่พร่องไปครึ่งหนึ่ง แซมใส่แว่นกันแดดสีดำและหมวกไหมพรม (ทั้งที่อากาศร้อน 35 องศา) เพื่อพรางตัว

“มึงจะใส่หมวกไหมพรมทำไมวะแซม คนเขามองทั้งโรงอาหารแล้ว” ผมกระซิบดุ

“นี่คือแฟชั่นสายลับเว้ย! แล้วมึงแน่ใจนะว่าทฤษฎีมึงถูก?” แซมกระซิบตอบพลางเคี้ยวแตงกวา “ลุงหมูเนี่ยนะคือพี่แทน? ลุงภารโรงพุงพลุ้ยที่ชอบเดินฮัมเพลงลูกทุ่งเนี่ยนะ?”

“มึงลองคิดดูดีๆ นะแซม” ผมเริ่มวิเคราะห์ด้วยเหตุผล “ทำไมไม่มีใครหาพี่แทนเจอตอนที่หายตัวไป? เพราะทุกคนมัวแต่มองหา ‘เดือนคณะผู้หล่อเหลา’ ไง ไม่มีใครสนใจมองคนตัวเล็กตัวน้อยอย่างภารโรง… จิตวิทยาพื้นฐานเลย คนเรามักจะมองข้ามสิ่งที่คิดว่าไม่มีความสำคัญ”

“เออ… ก็มีเหตุผล”

“แล้วมึงจำได้ไหม ลุงหมูเริ่มมาทำงานที่นี่เมื่อไหร่?”

แซมนิ่งคิด “น่าจะ… สัก 4-5 ปีมั้ง? เออว่ะ! ไทม์ไลน์โคตรเป๊ะ!”

เป้าหมายของเราปรากฏตัวขึ้น ‘ลุงหมู’ เข็นรถทำความสะอาดเข้ามาในโรงอาหาร เขาดูเป็นคุณลุงใจดีรูปร่างท้วม สวมชุดยูนิฟอร์มสีฟ้าหม่นๆ และหมวกแก๊ปใบเก่าที่กดลงปิดบังครึ่งหน้าบนเสมอ ท่าทางเขาดูเชื่องช้า เดินลากขาเล็กน้อย

แต่สายตาผมที่ฝึกการสังเกตการเคลื่อนไหวมาจับจ้องอยู่ที่ ‘จังหวะ’ ถึงแม้เขาจะแกล้งเดินลากขา แต่ทุกครั้งที่เขาต้องหลบนักศึกษาที่วิ่งชน หรือตอนที่เอื้อมมือไปเก็บจาน จังหวะการทรงตัวของเขามั่นคงมาก… Core Body Balance ดีเยี่ยมเหมือนคนเคยเป็นนักกีฬาหรือนายแบบ ไม่ใช่คนอ้วนที่อุ้ยอ้าย

และจุดสังเกตที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นเมื่อเขายืนอยู่หน้าบอร์ดโชว์ผลงานโมเดลของนักศึกษาปี 1

โมเดลบ้านหลังหนึ่งมีเสาที่ติดกาวไม่แน่นและกำลังจะเอียงล้ม ลุงหมูมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าไม่มีใครมอง เขาใช้นิ้วชี้ดันเสานั้นกลับเข้าที่ แล้วล้วงเอาเศษไม้เล็กๆ จากกระเป๋าเสื้อมายัดหนุนฐานไว้อย่างชำนาญ องศาเป๊ะโดยไม่ต้องใช้ไม้บรรทัดวัด

“เชี่ย…” แซมร้องเสียงหลง “สกิลสถาปนิกชัดๆ!”

ผมรีบถ่ายคลิปช็อตนั้นไว้ทันที

ตกเย็น ผมนัดเจอคิรินที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าใกล้มหาลัย เพื่อความปลอดภัยและหลบสายตาคน คิรินนั่งอยู่ในรถยุโรปคันหรู ติดฟิล์มดำมืดสนิท ทันทีที่ผมขึ้นไปนั่งเบาะข้างคนขับ เขาก็ยื่นชานมไข่มุกให้ผมแก้วหนึ่ง

“หน้าเครียดเชียวคุณนักวิ่ง เจอผีเหรอ?” คิรินถามยิ้มๆ

“ยิ่งกว่าผีอีก” ผมเปิดคลิปในมือถือให้เขาดู พร้อมเล่าเรื่องที่เจอโค้ชวินกับลุงหมูเมื่อคืนให้ฟังจนหมดเปลือก

คิรินดูคลิปนั้นซ้ำไปซ้ำมา สีหน้าขี้เล่นหายไป กลายเป็นความเคร่งเครียด “ผมว่าแล้ว…” คิรินพึมพำ “สายตาลุงแก… วันนั้นที่ผมไปห้องทะเบียน ลุงแกเป็นคนเปิดประตูให้ผม สายตาที่แกมองผมมันเหมือนคนที่มีความเจ็บปวดลึกๆ แต่ก็มีความเอ็นดู… เหมือนพี่ชายมองน้องชาย”

“คุณคิดว่าทำไมเขาต้องขู่เรา?” ผมถาม

คิรินถอนหายใจ เอนหลังพิงเบาะ “เพราะเขากลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไงดีน… พี่แทนเคยเป็นจุดสูงสุดของคณะ แฟนเขาเป็นกัปตันชมรมวิ่ง คู่รักแห่งปี… แรงกดดันมันมหาศาลนะ พอวันหนึ่งที่พี่แทนป่วย หรือรูปร่างเปลี่ยนไป สังคมก็คงรุมประณาม เขาคงรับไม่ได้ และไม่อยากให้ผม หรือนาย ต้องมาเจอจุดจบแบบเขา”

“เขาทำเพื่อปกป้องเรา… ด้วยวิธีที่ผิด” ผมสรุป

“แล้วนายจะเอายังไงต่อ?” คิรินหันมาสบตาผม “จะไปกระชากหน้ากากแกเหรอ?”

“ไม่…” ผมส่ายหน้า “ทำแบบนั้นเขาอาจจะหนีไปอีก คราวนี้อาจจะหายไปตลอดกาล… เราต้องทำให้เขายอมรับเอง”

“ยังไง?”

“ผมมีแผน” ผมยิ้มมุมปาก “แต่นายต้องร่วมมือด้วย… เสี่ยงหน่อยนะ”

คิรินยิ้มตอบ แววตาท้าทายกลับมาอีกครั้ง “ระดับเดือนมหาลัย เรื่องแสดงละครของถนัดอยู่แล้ว… ว่ามาเลย”

เวลา 20.00 น. ที่ตึกกิจกรรม เป็นเวลาที่ลุงหมูจะมาเก็บขยะรอบสุดท้ายก่อนกลับบ้าน

ผมกับคิรินมายืนอยู่ที่โถงทางเดินหน้าห้องชมรมกรีฑา ซึ่งเป็นจุดที่เงียบที่สุด ตามแผนคือ เราจะเล่นละครฉาก ‘บอกเลิก’เพื่อดูปฏิกิริยาของลุงหมูที่แอบดูอยู่

“เราเลิกกันเถอะดีน!” คิรินตะโกนเสียงดัง (แต่แอบขยิบตาให้ผม) “ผมทนแรงกดดันไม่ไหวแล้ว! มีแต่คนจ้องจับผิด มีจดหมายขู่บ้าบออะไรก็ไม่รู้!”

ผมแกล้งทำเสียงสั่นเครือ “คิริน… อย่าทำแบบนี้สิ แค่เพราะจดหมายขู่ฉบับเดียว คุณจะทิ้งผมเหรอ?”

“มันไม่ใช่แค่จดหมาย! แต่มันคืออนาคต!” คิรินใส่อารมณ์ดราม่าระดับรางวัลออสการ์ “ผมไม่อยากจบเห่เหมือนพี่แทน! ผมไม่อยากหายตัวไป!”

กึก…

เสียงรถเข็นทำความสะอาดหยุดชะงักที่มุมตึก เงาตะคุ่มของลุงหมูทอดยาวออกมา เขายืนนิ่งฟังอยู่ตรงนั้น

“งั้นเหรอ…” ผมพูดต่อตามบท “ถ้างั้น… ความรักของเรามันก็คงแพ้ความกลัวสินะ… พี่แทนคงภูมิใจที่ทำให้คู่รักคู่อื่นพังพินาศเหมือนตัวเองได้สำเร็จ”

เงาของลุงหมูสั่นไหวเล็กน้อย

“อย่ามาพูดถึงพี่แทนแบบนั้นนะ!” คิรินตะคอก “พี่เขาอาจจะหวังดี!”

“หวังดีประสาอะไร!” ผมตะโกนสวนกลับไป โดยจงใจให้เสียงดังไปถึงมุมตึก “คนหวังดีเขาไม่เอาความขี้ขลาดของตัวเองมาตัดสินคนอื่นหรอก! พี่แทนหนีปัญหา แล้วก็มาบังคับให้คนอื่นหนีตาม… เขาไม่ใช่ตำนานหรอก เขาแค่คนขี้แพ้ที่ทิ้งคนที่รักตัวเองที่สุดอย่างโค้ชวินไป!”

เคร้ง!

ไม้ถูพื้นร่วงกระแทกพื้นดังสนั่น!

ลุงหมูเดินออกมาจากมุมตึก ไม่มีการเดินลากขาอีกต่อไป ท่าทางการเดินของเขารวดเร็วและเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ เขาก้าวเข้ามาหาพวกเรา ใบหน้าที่เคยซ่อนอยู่ใต้หมวกแก๊ปเงยขึ้น… แม้จะมีริ้วรอยและความอวบอ้วน แต่แววตาคู่นั้นลุกโชนด้วยไฟโทสะ

“ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้…” เสียงของลุงหมูเปลี่ยนไป ไม่ใช่เสียงแหบแห้งของชายแก่ แต่เป็นเสียงทุ้มกังวานที่มีอำนาจ “มึงรู้อะไรเกี่ยวกับความรัก! รู้อะไรเกี่ยวกับความเจ็บปวดของการถูกสังคมเหยียบย่ำ!”

ผมกับคิรินยืนนิ่ง หัวใจผมเต้นรัว… เหยื่อกินเบ็ดแล้ว

“ผมไม่รู้หรอกลุง…” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ “ผมรู้แค่ว่า… โค้ชวินยังเก็บรองเท้าวิ่งคู่เก่าของลุงไว้ในตู้ล็อกเกอร์ และรอเจ้าของมันกลับมาทุกวัน… ตลอด 5 ปี”

ร่างท้วมของลุงหมูชะงักกึก เหมือนโดนสาปให้เป็นหิน ความโกรธในแววตาเลือนหายไป เหลือเพียงความสั่นไหวระริก

“รองเท้า…?” เขาพึมพำเสียงเบาหวิว “เขายัง… เก็บไว้อีกเหรอ?”

“ครับพี่แทน” คิรินเรียกชื่อจริงของเขาออกมาเป็นครั้งแรก “เขารอพี่… ไม่ใช่รอเดือนคณะ แต่รอ ‘แทน’ คนที่เขารัก”

ลุงหมู… หรือพี่แทน ยกมือที่สั่นเทาขึ้นปิดหน้า ไหล่หนาๆ ของเขาสั่นสะท้าน เสียงสะอื้นที่กลั้นมานานหลุดรอดออกมา “กู… กูไม่กล้า… กูสภาพแบบนี้… กูอาย…”

“ความรักไม่ได้ใช้ตามองนะครับพี่” ผมเดินเข้าไปแตะไหล่เขาเบาๆ “แต่มันใช้ใจรู้สึก… โค้ชวินไม่เคยสนหรอกว่าพี่จะหนักกี่กิโล เขาแค่สนว่าพี่หายไปไหน”

ทันใดนั้น… ประตูห้องชมรมด้านหลังพวกเราก็เปิดออก แสงไฟจากห้องสาดส่องออกมา พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของ โค้ชวิน ที่ยืนตระหง่านอยู่

โค้ชไม่ได้มองผม ไม่ได้มองคิริน สายตาของเขาจับจ้องไปที่ชายร่างท้วมในชุดภารโรงตรงหน้าเพียงจุดเดียว

“แทน…?” เสียงโค้ชวินเบาหวิว เหมือนคนละเมอ

พี่แทนตัวแข็งทื่อ จะหันหลังหนี แต่ขามันก้าวไม่ออก โค้ชวินค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาช้าๆ ทีละก้าว… ทีละก้าว… จนมายืนอยู่ตรงหน้า เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่ถามว่าหายไปไหน ไม่ถามว่าทำไมถึงอ้วนขึ้น โค้ชวินดึงร่างท้วมนั้นเข้าไปกอดแน่น… แน่นจนจมอก

“ไอ้บ้าเอ๊ย…” โค้ชวินเสียงสั่น น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบแก้ม “มึงไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมา… กูตามหาแทบพลิกแผ่นดิน”

พี่แทนปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร กอดตอบโค้ชวินแน่นเช่นกัน “วิน… กูขอโทษ… กูขอโทษ…”

ผมกับคิรินมองหน้ากัน แล้วค่อยๆ ถอยฉากออกมาเงียบๆ ปล่อยให้ช่วงเวลานี้เป็นของพวกเขา ภารกิจ ‘จับผี’ ของเราจบลงแล้ว… ไม่ได้จบด้วยการปราบผี แต่จบด้วยการคืน ‘คนรัก’ ให้กัน

เมื่อเดินออกมาถึงลานจอดรถ คิรินก็ถอนหายใจยาวเหยียด แล้วหันมากอดคอผม “เก่งมากคุณนักวิ่ง… แผนนายเจ๋งเป้ง”

“คุณก็แสดงเก่งเหมือนกัน คุณเดือน” ผมยิ้ม

“นี่…” คิรินจ้องตาผม “ถ้าวันหนึ่งผมอ้วนเป็นหมู หรือหน้าเหี่ยว… นายจะยังมองผมเหมือนที่โค้ชวินมองพี่แทนไหม?”

ผมหัวเราะเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปยีผมทรงมูจิของเขาจนยุ่ง “ต่อให้นายกลายเป็นหมู… นายก็จะเป็นหมูที่น่ารักที่สุดในโลกสำหรับผม… สัญญา”

คิรินหน้าแดงแปร๊ด รีบผลักผมออก “เลี่ยน! ไป! พาไปกินหมูกระทะฉลองปิดคดีเดี๋ยวนี้!”

“จัดไปครับ… เลี้ยงนะ?”

“หารเว้ย!”

บทที่ 8 : เส้นชัยที่ไม่มีเส้นกั้น (The Limitless Finish Line)

หนึ่งเดือนผ่านไป…

บรรยากาศในสนามกีฬากลางมหาวิทยาลัยวันนี้คึกคักเป็นพิเศษ ธงทิวหลากสีปลิวไสว เสียงกลองเชียร์ดังกระหึ่ม การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยรอบชิงชนะเลิศรายการวิ่ง 100 เมตรชายกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

ผมยืนวอร์มร่างกายอยู่ข้างลู่วิ่ง พยายามปรับลมหายใจเข้าออกให้ลึกที่สุด แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือ… วันนี้ผมไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยว

“ยืดขาดีๆ อย่าให้ตะคริวกินนะเว้ย วันนี้กูลงทุนซื้อกล้องเลนส์ซูมมาถ่ายมึงโดยเฉพาะ!” ไอ้แซม ตะโกนมาจากขอบสนาม มันใส่เสื้อสกรีนคำว่า ‘FC ดีน ขาแรง’ (ที่ทำเองแบบหยาบๆ)

ถัดไปไม่ไกล… โค้ชวิน ยืนกอดอกมองผมอยู่ วันนี้โค้ชดูแปลกตาไปมาก หนวดเคราเฟิ้มถูกโกนจนเกลี้ยงเกลา เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูหนุ่มขึ้นหลายปี และที่สำคัญ… ข้างกายโค้ชมีชายร่างท้วมในชุดสปอร์ตแวร์สีสดใสนั่งอยู่บนม้านั่งสำรอง

พี่แทน (อดีตลุงหมู) ส่งยิ้มกว้างให้ผม ในมือถือขวดน้ำเกลือแร่เตรียมไว้ให้โค้ช ไม่มีใครจำพี่แทนได้ในฐานะ “เดือนคณะผู้หายสาบสูญ” อีกต่อไป ทุกคนรู้จักเขาในฐานะ “ผู้ช่วยโค้ชคนใหม่” ที่ใจดีและทำอาหารอร่อยที่สุดในโลก… และดูเหมือนพี่แทนจะมีความสุขกับตัวตนนี้มากกว่าตอนเป็นเดือนคณะเสียอีก

“พร้อมไหมดีน?” โค้ชวินเดินเข้ามาตบไหล่ผม “วันนี้ไม่ต้องวิ่งเพื่อใคร ไม่ต้องวิ่งหนีอะไร… วิ่งเพื่อตัวเอง ทำให้เต็มที่”

“ครับโค้ช” ผมรับคำหนักแน่น

เสียงประกาศจากสนามดังขึ้น “ขอให้นักกีฬาวิ่ง 100 เมตรชาย รายงานตัวที่จุดปล่อยตัวครับ”

ผมเดินเข้าประจำลู่วิ่ง… ลู่วิ่งที่ 4 ลู่วิ่งที่เคยเป็นตำนานอาถรรพ์ วันนี้มันเป็นเพียงพื้นยางสังเคราะห์ธรรมดาที่รอให้ผมเหยียบย่ำเพื่อพุ่งทะยาน

ผมมองไปที่เส้นชัย… ตรงนั้น ท่ามกลางฝูงชนบนอัฒจันทร์ VIP มีร่มคันใหญ่กางเด่นหรา ใต้ร่มคันนั้น เจ๊จีน่า กำลังพัดวีอย่างบ้าคลั่ง และข้างๆ เจ๊…

คิริน วันนี้เขาไม่ได้ใส่หน้ากาก ไม่ได้ใส่หมวกปิดบังใบหน้า เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่าย (สไตล์มูจิที่เขาชอบ) นั่งยิ้มแฉ่งมองมาที่ผมอย่างเปิดเผย ในมือเขาชูป้ายไฟเล็กๆ ที่เขียนข้อความสั้นๆ ว่า: “My Runner”

เสียงซุบซิบดังฮือฮาไปทั่วสนามเมื่อคนเริ่มเห็นว่าเดือนมหาลัยมาเชียร์ใคร แต่คิรินไม่สนใจ เขาสบตาผม แล้วขยับปากบอกว่า ‘สู้ๆ’

หัวใจผมพองโต ความกดดันทั้งหมดกลายเป็นพลังงานเชื้อเพลิง

“เข้าที่…”

ผมก้มลงวางมือบนเส้นสตาร์ท สมาธิจดจ่ออยู่ที่เป้าหมายข้างหน้า โลกทั้งใบเงียบเสียงลง เหลือเพียงเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะกลองรบ

“ระวัง…”

ก้นกระดกขึ้น กล้ามเนื้อขาเกร็งตัวพร้อมระเบิดพลัง

ปัง!!

สิ้นเสียงปืน ผมดีดตัวออกจากบล็อกสตาร์ทเหมือนลูกธนูหลุดจากคัน ลมปะทะใบหน้า เสียงเชียร์กระหึ่มก้อง แต่ผมไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงฝีเท้าตัวเอง ตึก ตึก ตึก ตึก!

30 เมตร… ผมเร่งความเร็วตีคู่กับตัวเต็งจากคณะวิศวะ 60 เมตร… ความล้าเริ่มถามหา แต่ภาพรอยยิ้มของคิรินที่ปลายทางดึงให้ผมก้าวต่อไป 80 เมตร… ผมกัดฟัน สับขาด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่

เส้นชัยอยู่ตรงหน้า!

ผมพุ่งตัวผ่านเส้นชัย ตัดเชือกด้วยหน้าอก!

เฮ้!!!!!!

เสียงเฮดังสนั่นหวั่นไหว ผมวิ่งเลยไปอีกหลายเมตรก่อนจะค่อยๆ ชะลอความเร็วลง หอบหายใจจนตัวโยน ผมหันกลับไปมองที่บอร์ดคะแนน…

อันดับ 1 : ดีน (คณะวิทย์-กีฬา) – 10.45 วินาที (New Record!)

ผมทำได้… ผมทำลายสถิติ!

ความดีใจแล่นพล่าน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะชูมือดีใจ ร่างสูงโปร่งของใครบางคนก็กระโดดข้ามรั้วกั้นสนามลงมา!

“เฮ้ย! คิริน! ลงไปไม่ได้นะลูก!” เสียงเจ๊จีน่ากรีดร้องไล่หลัง

แต่คิรินไม่สนกฎเกณฑ์อะไรอีกแล้ว เขาวิ่งฝ่าเจ้าหน้าที่สนามตรงดิ่งมาหาผม วินาทีนั้น ผมลืมความเหนื่อย ลืมเหงื่อที่ท่วมตัว ลืมสายตาคนทั้งมหาลัย ผมอ้าแขนรับแรงกระแทกจากเดือนมหาลัยที่พุ่งเข้ามากอดผมเต็มรัก!

“ทำได้แล้ว! นายทำได้แล้ว!” คิรินตะโกนข้างหูผม เสียงเขาสั่นเครือด้วยความดีใจ

“บอกแล้วไงว่าผมเก่ง” ผมหัวเราะ กอดตอบเขาแน่นโดยไม่แคร์กล้องนับร้อยตัวที่กำลังรัวชัตเตอร์

“นี่…” คิรินผละหน้าออกมาเล็กน้อย สบตาผมในระยะประชิด “จำตำนานใหม่ที่เราคุยกันได้ไหม?”

“หือ?”

“ที่บอกว่า… ถ้านักวิ่งกับเดือนคณะ…”

คิรินไม่พูดต่อ แต่เขายิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วโน้มหน้าลงมาประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากที่ชุ่มเหงื่อของผมท่ามกลางสนามแข่ง เสียงกรี๊ดในสนามดังถล่มทลายยิ่งกว่าตอนเข้าเส้นชัยเสียอีก เจ๊จีน่าเป็นลมล้มพับไปแล้ว (โดยมีไอ้แซมช่วยรับไว้… แบบทุลักทุเล)

“จองแล้วนะ” คิรินกระซิบยิ้มๆ “เหรียญทองเป็นของนาย… แต่เจ้าของเหรียญทองเป็นของผม”

ผมยิ้มกว้างที่สุดในชีวิต “ครับ… ยอมแพ้ราบคาบเลยครับคุณดวงจันทร์”

บทส่งท้าย (Epilogue) : ฤดูที่ฝนไม่ตกในใจอีกต่อไป

1 ปีต่อมา…

“คัท! ผ่านครับ! เลิกกองได้!”

เสียงผู้กำกับตะโกนสั่ง ผมรีบเดินถือแก้วน้ำเย็นเจี๊ยบเข้าไปหา ‘พระเอก’ ของงานที่กำลังนั่งซับหน้าอยู่ คิรินรับน้ำไปดูดจ๊วบใหญ่ วันนี้เขามาถ่ายแบบโฆษณาครีมกันแดดที่สตูดิโอ

“เหนื่อยไหม?” ผมถาม พลางหยิบกระดาษทิชชูช่วยซับเหงื่อที่คอให้

“เหนื่อย… อยากกลับไปนอนกอดหมอนข้าง (ที่มีชีวิต) ที่ห้องแล้ว” คิรินอ้อนเสียงงุ้งงิ้ง “เย็นนี้อยากกินฝีมือพี่แทนอ่า โทรบอกโค้ชวินให้หน่อยสิว่าเราจะไปบุกบ้าน”

“โทรแล้วครับ พี่แทนบอกว่าทำแกงเขียวหวานรอแล้ว”

ชีวิตหลังจากวันนั้นเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ข่าวผมกับคิรินเป็นกระแสอยู่พักใหญ่ แต่ด้วยความที่ยุคสมัยเปลี่ยนไป บวกกับการจัดการ (และด่ากราด) ของเจ๊จีน่า ทำให้กระแสแอนตี้เงียบลง และกลายเป็นกระแสจิ้นแทน

ตอนนี้ผมเรียนจบแล้ว และกำลังเก็บตัวฝึกซ้อมทีมชาติ โดยมีโค้ชวินดูแลเข้มข้นเหมือนเดิม ส่วนคิรินก็ยังคงเป็นเดือนผู้โด่งดัง แต่เขากล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น รับงานที่ชอบ ปฏิเสธงานที่ใช่ และไม่อายที่จะเดินจับมือผมกินลูกชิ้นปิ้งหน้าปากซอย

ส่วนตำนานผีพี่แทน… ตอนนี้กลายเป็นเรื่องตลกประจำวงเหล้าของรุ่นพี่ ที่เล่ากันว่า “ผีพี่แทนไม่ได้หายไปไหน แต่แปลงร่างเป็นเชฟกระทะเหล็กอยู่ที่บ้านโค้ชวิน”

“ไปกันเถอะ” คิรินลุกขึ้น คว้ามือผมไปจับไว้ “หิวแล้ว”

เราเดินออกจากสตูดิโอไปด้วยกัน แสงแดดยามเย็นทอดยาวลงมา ผมมองแผ่นหลังของคนข้างๆ แล้วนึกถึงวันแรกที่เจอกันข้างกองเบาะกระโดดสูง

ขอบคุณที่คืนนั้นผมตัดสินใจ ‘ฟาวล์’ หยุดวิ่งเพื่อคุยกับเขา เพราะมันทำให้ผมรู้ว่า… เส้นชัยที่สวยงามที่สุด ไม่ใช่เส้นแถบสีขาวในสนามแข่ง แต่มันคือการที่มีใครสักคน วิ่งเคียงข้างเราไปตลอดชีวิตต่างหาก

– จบบริบูรณ์ –

ตอนอื่นๆ

More Novel